เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 เป็นเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มที่รัฐให้การสนับสนุน
ได้เข้าไปล้อมจับกุมและสังหารนักศึกษาและประชาชนภายใน บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ท่าพระจันทร์ ซึ่งกำลังชุมนุมประท้วงเพื่อขับไล่ให้จอมพลถนอม กิตติขจรออกนอกประเทศ
ในเหตุการณ์นี้ ตำรวจตระเวนชายแดนนำโดยค่ายนเรศวรจากหัวหิน, กลุ่มลูกเสือชาวบ้าน ตำรวจ และกลุ่มคนที่ตั้งโดยงบ
กอ.รมน. คือ กลุ่มนวพล และ กลุ่มกระทิงแดง ได้ใช้กำลังอย่างรุนแรง
ทำให้มีผู้ที่บาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหายเป็นจำนวนมาก
ในสมัยรัฐบาล
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ในปี พ.ศ. 2519 มีความพยายามกลับประเทศไทย ของ จอมพลประภาส จารุเสถียร ในวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2519 และการกลับประเทศไทยของ
จอมพลถนอม กิตติขจร เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2519 หลังจากที่ทั้งสองได้เดินทางออกนอกประเทศหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาหลังจากการกลับมาของจอมพลประภาส ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยได้ชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องให้จอมพลประภาส
เดินทางกลับออกนอกประเทศ จนกระทั่งในที่สุด
จอมพลประภาสจึงยินยอมเดินทางออกนอกประเทศในวันที่ 22 สิงหาคม
พ.ศ. 2519ต่อมา
จอมพลถนอมได้เดินทางกลับเข้ามาในประเทศอีกในวันที่ 19
กันยายน พ.ศ. 2519 โดยก่อนหน้านั้นได้แวะที่สิงคโปร์
เพื่อบวชเป็นสามเณรที่วัดไทยในสิงคโปร์
และได้รับอนุญาตให้เข้าอุปสมบทที่วัดบวรนิเวศวิหาร
ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยจึงได้ชุมนุมเพื่อขับไล่อีกในขณะนั้นได้เกิดความแตกแยก
ทั้งในพรรคการเมืองและกลุ่มประชาชน ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่สนับสนุนบทบาทของนิสิตนักศึกษา และ กลุ่มที่ต่อต้านนิสิตนักศึกษา
ทำให้สถาการณ์มีความรุนแรงมากขึ้น จนกระทั่ง ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช
นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ประกาศลาออกจากตำแหน่ง
แต่พรรคร่วมรัฐบาลซึ่งมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ ก็ตัดสินใจเลือก ม.ร.ว. เสนีย์
เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหนึ่งในวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2519 นายวิชัย เกษศรีพงษา และนายชุมพร ทุมไมย พนักงานการไฟฟ้านครปฐม
และสมาชิกแนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ
ถูกซ้อมตายระหว่างออกติดโปสเตอร์ประท้วงต่อต้านพระถนอม
และถูกนำศพไปแขวนคอที่ประตูทางเข้าที่จัดสรร บริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่
ต.พระประโทน อ.เมือง จ.นครปฐม แต่
ตำรวจสรุปสำนวนคดีว่าเกิดจากการผิดใจกับคนในที่ทำงานความเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้ขับไล่พระถนอม
ทวีความรุนแรงมากขึ้น มหาวิทยาลัยทั้งในกรุงเทพฯ
และต่างจังหวัดมีการชุมนุมเพื่ออภิปรายโจมตีรัฐบาล ต่อต้านการกลับมาของจอมพลถนอม
และให้จัดการจับฆาตกรสังหารโหดฆ่าแขวนคอที่นครปฐม
สภาแรงงานแห่งประเทศไทยได้ยื่นคำขาดต่อรัฐบาล ให้จอมพลถนอมออกนอกประเทศภายใน 5 วัน มิฉะนั้นจะหยุดงานทั้งประเทศตั้งแต่วันที่ 10
ตุลาคม พ.ศ. 2519 เป็นต้นไป ทั้งนักศึกษา สภาแรงงาน
และผู้ต่อต้าน ได้รวมตัวกันประท้วงที่สนามหลวง
จากนั้นจึงย้ายเข้าไปชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทางด้านกลุ่มที่ต่อต้านการกระทำของนิสิตนักศึกษา
อันประกอบด้วย กลุ่มนวพล (พลโท สำราญ แพทยกุล เป็นแกนนำ รหัส นวพล001 เป็นหนึ่งในองคมนตรี) กลุ่มพิทักษ์ชาติไทย กลุ่มกระทิงแดง และอื่น ๆ ได้ร่วมกันแถลงการณ์กล่าวหาศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย
สภาแรงงาน และนักการเมืองบางคนว่า ได้ถือเอากรณีพระถนอม
เป็นเงื่อนไขสร้างความไม่สงบในประเทศ
ต่อมากลุ่มเหล่านี้จึงเดินทางเข้ามาชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้า
สนามเสือป่า ราชตฤณมัยสมาคม และสนามหลวง เพื่อต่อต้านการชุมนุมของนิสิตนักศึกษา
กลุ่มเหล่านี้ได้เรียกร้องให้รัฐบาลจับกุม
และปลดรัฐมนตรีบางคนที่เชื่อว่าให้การสนับสนุนนิสิตนักศึกษา
แต่รัฐบาลก็ยังไม่ได้สั่งการประการใดในวันที่ 4
ตุลาคม มีการชุมนุมที่ลานโพธิ์ มีการอภิปราย และการแสดงละครเกี่ยวกับกรณีฆ่าแขวนคอพนักงานการไฟฟ้านครปฐม
จัดโดยชุมนุมนาฏศิลป์และการละคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หลังจากนั้นสถานีวิทยุยานเกราะนำโดย อุทาร สนิทวงศ์ ณ อยุธยา , สมัคร สุนทรเวช, ทมยันตี, ฯลฯ
ออกข่าวว่านักศึกษาที่แสดงละคร มีใบหน้าคล้ายเจ้าฟ้าชายถูกแขวนคอ
ต่อมาหนังสือพิมพ์ดาวสยาม และบางกอกโพสต์ ฉบับเช้าวันที่ 5
ตุลาคม เผยแพร่ภาพการแสดงล้อการแขวนคอของนักศึกษาที่ลานโพธิ์
โดยพาดหัวข่าวเป็นเชิงว่า การแสดงดังกล่าวเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพคืนวันที่ 5
ตุลาคม สถานีวิทยุยานเกราะและชมรมวิทยุเสรี
ออกอากาศกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เรียกร้องให้ประชาชน และลูกเสือชาวบ้าน
ไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้า
และเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการจับกุมผู้กระทำการหมิ่นองค์สยามมกุฎราชกุมารมาลงโทษ
ตลอดทั้งคืน
เวลาเช้ามืดราว
2.00 น. กลุ่มกระทิงแดงทุกจุด รอบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เตรียมปฏิบัติการโดยประสานงานกับตำรวจนอกเครื่องแบบ
และมีกลุ่มกระทิงแดงเข้าแทรกตัวปะปนกับหมู่นิสิตนักศึกษา
กลุ่มนวพลได้เรียกร้องให้รัฐบาลจับกุมนิสิตนักศึกษา ในวันที่ 6 ตุลา เวลาราว 5.00 น. เริ่มมีการยิงจากภายนอกเข้าสู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยถูกล้อมไว้ เวลา 7 นาฬิกา กลุ่มทหาร
ตำรวจตระเวนชายแดน ลูกเสือชาวบ้าน กระทิงแดง และกลุ่มอันธพาล
ได้ใช้รถบัสพุ่งชนประตูมหาวิทยาลัย
ทั้งหมดเข้าสู่มหาวิทยาลัยและใช้อาวุธหนักระดมยิง ตำรวจหน่วยคอมมานโด
หน่วยปฏิบัติการพิเศษและตำรวจนครบาลจากท้องที่ต่างๆเข้าถึงที่เกิดเหตุ เวลา 8 นาฬิกา ตำรวจตระเวนชายแดนพร้อมอาวุธครบมือเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พร้อมยิงกระสุนเข้าใส่นักศึกษา
เวลา
8.30 น. - 10.00 น.
นักศึกษาและประชาชนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
วิ่งหนีวิถีกระสุนจากตำรวจตระเวนชายแดนและกลุ่มผู้ก่อเหตุ
นักศึกษาบางคนวิ่งหนีออกทางประตูหน้ามหาวิทยาลัย
นักศึกษาบางส่วนหนีอออกทางแม่น้ำเจ้าพระยา หลายคนถูกรุมตี รุมกระทืบ
บางคนที่ถูกทำร้ายบาดเจ็บถูกนำไปแขวนคอ และถูกผู้คนแสดงท่าทางเยาะเย้ยศพ
กลุ่มคนบางกลุ่มลากเอาศพนักศึกษามาเผากลางถนนราชดำเนิน ตรงข้ามพระแม่ธรณีบีบมวยผม
โดยใช้ยางรถยนต์ทับและราดด้วยน้ำมันเบนซิน
บางส่วนใช้ของแข็งทำอนาจารศพนักศึกษาหญิง
เวลาราว 11.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าเคลียร์พื้นที่
และให้นักศึกษานอนคว่ำหน้ากับพื้นสนามฟุตบอล
จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหาขึ้นรถออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เพื่อควบคุมตัวไว้ที่โรงเรียนตำรวจนครบาล บางเขน กลุ่มคนที่มุงดูใช้ก้อนหิน อิฐ
ไม้ ขว้างปาผู้ที่อยู่บนรถ
เวลาราว
16.00 น. กลุ่มลูกเสือชาวบ้าน นำโดย พล.ต.ท. เจริญฤทธิ์
จำรัสโรมรัน และกลุ่มแม่บ้าน นำโดย ทมยันตี ได้บุกเข้าทำเนียบรัฐบาล
โดยใช้รถบรรทุกที่ทำเป็นเวทีปราศรัยบุกพังประตูเข้าไป บางคนได้ถือเชือกเข้าไปโดยจะเข้าไปแขวนคอ
3 รัฐมนตรีของรัฐบาล ได้แก่ นายชวน หลีกภัย, นายดำรง ลัทธพิพัฒน์, นายสุรินทร์ มาศดิตถ์
เนื่องจากกล่าวหาว่าบุคคลทั้ง 3 เป็นคอมมิวนิสต์ แต่ ม.ร.ว.
เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ได้ลงไปพบและยืนยันว่าบุคคลทั้ง 3 ไม่ได้มีพฤติกรรมดังกล่าว มีผู้ตะโกนถามว่า ท่านจะจัดการอย่างไร ม.ร.ว.
เสนีย์ตอบว่า ท่านจะบอกให้รัฐมนตรีทั้ง 3
ลาออกเองเพื่อความสงบของบ้านเมือง มีผู้ถามต่อไปว่า ถ้าบุคคลทั้ง 3 ไม่ลาออกจะทำอย่างไร ม.ร.ว. เสนีย์ตอบว่า ท่านจะลาออกเอง
แต่ภายหลังข้อความนี้ได้ถูกวิทยุยานเกราะนำไปตัดต่อกลายเป็นข้อความว่า
ท่านไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุคคลทั้ง 3 นี้เป็นคอมมิวนิสต์ และท่านจะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ครั้นถึงเวลา 18.00 น. คณะทหารที่เรียกตัวเองว่า
คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ภายใต้การนำของพลเรือเอก สงัด ชลออยู่
ได้ทำการยึดอำนาจการปกครอง มีผลให้ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ต้องพ้นจากตำแหน่ง
และนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่
การรัฐประหาร 6
ตุลา
แตกต่างจากการรัฐประหารที่เคยมีมา
คือ ไม่ใช่เพียงการยึดอำนาจกันในหมู่ผู้นำเท่านั้น แต่เป็นการรัฐประหารที่ฝ่ายขวาหรือ
กลุ่มอนุรักษ์นิยมวางแผนการรณรงค์ คุกคาม
และใช้ความรุนแรงอย่างเปิดเผย
เห็นได้อย่างโจ่งแจ้งในการปลุกปั่นยุยงให้เกิดความบ้าคลั่งของฝูงชน “ม็อบ” การรัฐประหาร 6 ตุลา
มาพร้อมกับความรุนแรงและป่าเถื่อน
อย่างชนิดที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ในสังคมไทย ภาพของความทารุณโหดร้ายได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลก การสังหารหมู่กลางพระนคร หน้าพระบรมมหาราชวัง
และ พระอารามหลวงในวันนั้น ถูกถ่ายทอดออกโทรทัศน์ช่อง 9 ด้วย เหยื่อความรุนแรงก็ถูกจับเข้าคุก
ส่วนผู้ที่ก่ออาชญากรรมก็ได้รับการขอบคุณยกย่องจากบุคคลระดับสูงของสังคมไทย เย็นวันเดียวกันนั้น คณะทหารก็ประกาศยึดอำนาจ
ทางการแถลงว่าในวันนั้นมีผู้เสียชีวิตประมาณ
40 คน บาดเจ็บเป็นร้อย และถูกจับกุมไป 3
พันคน
แต่ก็เชื่อกันว่าจำนวนผู้เสียชีวิต
บาดเจ็บ
รวมทั้งสูญหายน่าจะสูงกว่าที่ทางการแถลง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น